มีรายงานการศึกษาใน journal Pediatrics ซึ่งรวบรวมประวัติคนไข้เด็กที่มารับการรักษาฉุกเฉินด้วยอาการปวดท้องกว่า10,000 ราย(อายุระหว่าง 1 ถึง18 ปี) ผลการวินิจฉัยส่วนมากมักลงบันทึกว่า สาเหตุการปวดท้องเกิดจากท้องผูก
Dr. Kerry S. Caperell, University of Louisville School of Medicine หัวหน้าทีมศึกษาดังกล่าว สรุปว่ากลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือเด็กชายอายุเฉลี่ย10ขวบ สาเหตุที่พบเกิดจาก เด็กๆไม่อยากเข้าห้องส้วมในโรงเรียน เลย กลั้นอุจจาระ
Dr. Hankinson กล่าวว่า“ หลังจากท้องผูกเสมอๆจนรู้สึกปวดทรมานเวลาขับถ่าย ก็เลยหลบหลีก ไม่ขับถ่ายตามเวลา เพราะกลัว วิตก กับความปวดทรมานเวลาเบ่ง ”
ในเด็กบางรายที่อาการรุนแรง มีอุจจาระแข็งเป็นก้อนขวางลำไส้ จนอุจจาระใหม่ที่เหลวๆต้องทะลักแทรกตัวออกมารอบๆก้อนอุจจาระแข็งๆนั้น
Dr. Marc Benninga ที่ Academic Medical Center, Amsterdam,ได้ใช้เวลาศึกษาติดตามผลกระทบจากท้องผูกในเด็ก “ จากข้อมูลและสถิติพบว่า กว่า 50% ของเด็กที่ท้องผูกจะยังคงมีอาการท้องผูกต่อเนื่องไปอีกประมาณ 5ปีหลังจากเริ่มการรักษา และล่าสุดผลการศึกษาในปี 2010 พบว่าประมาณ25%ของเด็กเหล่านี้จะยังคงมีปัญหาท้องผูกไปจนถึงโตเป็นผู้ใหญ่
การรักษาอาการท้องผูกที่ ร.พ Johns Hopkins มักใช้ยาระบาย ร่วมไปกับแนะนำการทานอาหารที่เพิ่มกากใยให้มากขึ้น ดื่มน้ำให้มากขึ้น การอบรมทางจิตวิทยาเพื่อให้เด็กผ่อนคลาย คลายความวิตกกังวล และเสริมสร้างอุปนิสัยการขับถ่ายใหม่
Dr. Hankinson ใช็โปรแกรมร่วมมือกับผู้ปกครองโดยวิธีการให้รางวัล สร้างแรงจูงใจให้เด็กทานยา เข้าห้องส้วมขับถ่ายตามเวลาที่กำหนดให้
Dr. Arnold Wald ที่ University of Wisconsin School of Medicine and Public Health ได้เขียนและเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการท้องผูกทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ “ มีผลการศึกษามากมายที่พบว่าอาการท้องผูกก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ลำไส้อักเสบ และผลกระทบจากลำไส้อีกมาก.”
ผู้ปกครองต้องให้ความใส่ใจมากขึ้น อย่าเอาแต่ดุด่าตำหนิ เด็ก แต่ต้องค้นหาสาเหตุร่วมต่างๆนอกเหนือจาก การเสริมอาหารที่มีกากใยแล้ว ยังมีปัจจัยทางจิตวิทยา สิ่งแวดล้อมอีกหลายๆปัจจัยที่ต้องนำมาประกอบมาตรการแก้ไข ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเด็กไม่อยากเข้าห้องส้วมเพราะอะไร ? สกปรก ? หรือเพราะอะไร ? เด็กกำลังมีความเครียดเพราะเพื่อน เพราะครู เพราะหลักสูตรที่เด็กไม่ชอบ ? เด็กดื่มน้ำน้อยแต่ดื่มน้ำอัดลมเยอะ?
เรียบเรียงจากงานเขียนของ Dr. PERRI KLASS, M.D.
New York Times June 10, 2013